เคสตัวอย่าง !! สาวกินยา “สารสกัดหมามุ่ย” หน้าบวมพุพอง ผิวหนังลอก สุดท้ายเสียชีวิต
วันที่18 มิ.ย.59 ที่วัดนาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง งานบำเพ็ญกุศลศพ น.ส.ศตพร พันทองอายุ 21ปี สาวผู้เคราะห์ร้าย ที่เสียชีวิตเมื่อ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากทานยาสารสกัดจากเมล็ดหมามุ่ยอินเดียเข้าไปจำนวน 4 เม็ด ต่อมาเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงก่อนจะเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลตรัง และได้นำร่างไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) เพื่อหาการสาเหตุของการเสียชีวิตที่แน่ชัดแน่ชัด
ด้านนางสาวไอยอรอินท์ อดุลวิบูล ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้มีคนมาชักชวนตนและบุตรสาว ให้เข้าเป็นสมาชิกของธุรกิจขายตรงเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หมามุ่ยอินเดียสกัด กระทั่งเข้าฟังการอบรมและสมัครเป็นสมาชิก และได้รับยามารับประทาน คนละ 1 ชุด ประกอบไปด้วย สารสกัดจากหมามุ่ยอินเดีย แบบแคปซูล และผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมอกฟูรูฟิต ก่อนหน้านี้ได้ถามกับตัวแทนแล้วว่า จะมีผลข้างเคียงกับโรคลมชักหรือไม่ เพราะคิดว่าจะให้ลูกสาวทานแต่ลูกสาวเป็นโรคลมชักมาตั้งแต่เด็กแต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีผลข้างเคียง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงร่ายกาย เช้าวันรุ่งขึ้นได้รับประทานสารสกัดหมามุ่ยอินเดียไปคนละ 2 แคปซูลและตอนเที่ยงอีก 2 แคปซูล ต่อมาลูกสาวเริ่มมีอาการปากบวม ตาบวม ก็เข้าใจว่าลูกสาวคงจะนอนเยอะ แต่ก็ตกเย็นก็เริ่มเป็นมากขึ้น ปากเจ่อ มีผดขึ้น จึงพาไปหาหมอในตอนเย็น โดยหมอระบุว่ามีอาการแพ้ยา จึงให้นอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล
เช้าวันพุธ หัวใจของลูกสาวเต้นเร็วขึ้น เริ่มมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มใส อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ พอตกเย็นปากก็บวมและลิ้นมีเลือดออก มีตุ่มใสเป็นแผลพุพอง ขึ้นเต็มตามลำตัว ผิวหนังเริ่มดึงดำ และลอกออก ตาเริ่มมองไม่เห็นเพราะเป็นหนองและลืมตาไม่ขึ้น ผิวหนังเริ่มหลุดลอกออก ทางหมอได้บอกให้ครอบครัวทำใจ เพราะลูกสาวมีอาการแพ้ โดยหมอระบุว่าแพ้สมุนไพรอย่างรุนแรง จนกระทั่งในช่วงเย็นวันเสาร์น้องมิลค์ก็ได้เสียชีวิตลงอย่างน่าสงสาร
จึงตัดสินใจนำร่างไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อหาสาเหตุของการตายที่ชัดเจน โดยหมอระบุว่า เคสของน้องเป็นเคสที่ละเอียดอ่อนต้องวิจัยอย่างละเอียด เครื่องมือที่รพ.สงขลานครินทร์ยังไม่ละเอียดเท่าโรงพยาบาลรามาธิบดีจึงแนะนำให้ส่งศพไปโรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ และตั้งใจว่าเมื่อลูกสาวเสียชีวิตแล้ว อยากให้เป็นวิทยาทานแก่ นักศึกษาแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากน่าจะเป็นรายแรกและยินยอมบริจาคดวงตาอวัยวะต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ส่วนผลจากการผ่าพิสูจน์ นั้นต้องรออีกประมาณ 2 เดือน ถึงจะทราบแน่ชัด
ส่วนทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ และตัวแทนทักชวนไปนั้นได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบโดยการ จ่ายเงินในส่วนของการเดินทางนำศพไปชันสูตร คงต้องรออีก 2เดือนถึจะได้รู้ว่าเป็นความผิดของใคร และไม่ขอปรักปรัมว่าเป็นความผิดของบริษัท
ฝากไปยังบริษัทต่างๆ ที่อ้างผลวิจัย ต่อจากนี้ควรมีมาตราการในด้านการดูแลมาตราฐานของบริษัทอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยให้ทุกบริษัทมีหน่วยแพทย์ไว้รองรับ ขอฝากเตือนไปยังพ่อแม่ผู้ปกครอง ให้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ และระมัดระวังในการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ มิเช่นนั้นจะสูญเสียคนที่คุณรักไปเหมือนอย่างกรณีนี้
cr:http://www.siamupdate.com/news-183344
No comments:
Post a Comment