Saturday, June 18, 2016

แม่ใจสลาย !! ลูกสาวนอนตาย หน้าบวม ผิวหนังลอก หมามุ่ยทำให้ตายเลยหรอเนี้ย ระวังให้มาก !!?


เคสตัวอย่าง !! สาวกินยา “สารสกัดหมามุ่ย” หน้าบวมพุพอง ผิวหนังลอก สุดท้ายเสียชีวิต

วันที่18 มิ.ย.59 ที่วัดนาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง  งานบำเพ็ญกุศลศพ น.ส.ศตพร พันทองอายุ 21ปี สาวผู้เคราะห์ร้าย  ที่เสียชีวิตเมื่อ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากทานยาสารสกัดจากเมล็ดหมามุ่ยอินเดียเข้าไปจำนวน 4 เม็ด   ต่อมาเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงก่อนจะเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลตรัง และได้นำร่างไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) เพื่อหาการสาเหตุของการเสียชีวิตที่แน่ชัดแน่ชัด

ด้านนางสาวไอยอรอินท์ อดุลวิบูล ผู้เป็นแม่ เล่าว่า  ก่อนหน้านี้ได้มีคนมาชักชวนตนและบุตรสาว ให้เข้าเป็นสมาชิกของธุรกิจขายตรงเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หมามุ่ยอินเดียสกัด  กระทั่งเข้าฟังการอบรมและสมัครเป็นสมาชิก และได้รับยามารับประทาน คนละ 1 ชุด ประกอบไปด้วย สารสกัดจากหมามุ่ยอินเดีย แบบแคปซูล และผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมอกฟูรูฟิต   ก่อนหน้านี้ได้ถามกับตัวแทนแล้วว่า จะมีผลข้างเคียงกับโรคลมชักหรือไม่ เพราะคิดว่าจะให้ลูกสาวทานแต่ลูกสาวเป็นโรคลมชักมาตั้งแต่เด็กแต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีผลข้างเคียง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงร่ายกาย เช้าวันรุ่งขึ้นได้รับประทานสารสกัดหมามุ่ยอินเดียไปคนละ 2 แคปซูลและตอนเที่ยงอีก 2 แคปซูล ต่อมาลูกสาวเริ่มมีอาการปากบวม ตาบวม ก็เข้าใจว่าลูกสาวคงจะนอนเยอะ แต่ก็ตกเย็นก็เริ่มเป็นมากขึ้น ปากเจ่อ มีผดขึ้น จึงพาไปหาหมอในตอนเย็น โดยหมอระบุว่ามีอาการแพ้ยา จึงให้นอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล

เช้าวันพุธ หัวใจของลูกสาวเต้นเร็วขึ้น เริ่มมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มใส อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ พอตกเย็นปากก็บวมและลิ้นมีเลือดออก มีตุ่มใสเป็นแผลพุพอง ขึ้นเต็มตามลำตัว  ผิวหนังเริ่มดึงดำ และลอกออก ตาเริ่มมองไม่เห็นเพราะเป็นหนองและลืมตาไม่ขึ้น ผิวหนังเริ่มหลุดลอกออก ทางหมอได้บอกให้ครอบครัวทำใจ  เพราะลูกสาวมีอาการแพ้ โดยหมอระบุว่าแพ้สมุนไพรอย่างรุนแรง จนกระทั่งในช่วงเย็นวันเสาร์น้องมิลค์ก็ได้เสียชีวิตลงอย่างน่าสงสาร

จึงตัดสินใจนำร่างไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อหาสาเหตุของการตายที่ชัดเจน โดยหมอระบุว่า เคสของน้องเป็นเคสที่ละเอียดอ่อนต้องวิจัยอย่างละเอียด เครื่องมือที่รพ.สงขลานครินทร์ยังไม่ละเอียดเท่าโรงพยาบาลรามาธิบดีจึงแนะนำให้ส่งศพไปโรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ และตั้งใจว่าเมื่อลูกสาวเสียชีวิตแล้ว อยากให้เป็นวิทยาทานแก่ นักศึกษาแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากน่าจะเป็นรายแรกและยินยอมบริจาคดวงตาอวัยวะต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ส่วนผลจากการผ่าพิสูจน์ นั้นต้องรออีกประมาณ 2 เดือน ถึงจะทราบแน่ชัด

ส่วนทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ และตัวแทนทักชวนไปนั้นได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบโดยการ จ่ายเงินในส่วนของการเดินทางนำศพไปชันสูตร คงต้องรออีก 2เดือนถึจะได้รู้ว่าเป็นความผิดของใคร และไม่ขอปรักปรัมว่าเป็นความผิดของบริษัท

ฝากไปยังบริษัทต่างๆ ที่อ้างผลวิจัย ต่อจากนี้ควรมีมาตราการในด้านการดูแลมาตราฐานของบริษัทอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยให้ทุกบริษัทมีหน่วยแพทย์ไว้รองรับ ขอฝากเตือนไปยังพ่อแม่ผู้ปกครอง  ให้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ และระมัดระวังในการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ มิเช่นนั้นจะสูญเสียคนที่คุณรักไปเหมือนอย่างกรณีนี้
cr:http://www.siamupdate.com/news-183344

No comments:

Post a Comment